เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๑๙ ต.ค. ๒๕๖o

เทศน์เช้า วันที่ ๑๙ ตุลาคม ๒๕๖๐

พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

 

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ตั้งใจฟังธรรมะนะ ตั้งใจฟังธรรมเพื่อให้หัวใจชุ่มชื่น หัวใจมีที่พึ่งอาศัย การมีที่พึ่งอาศัยนะ ความสุขจากภายในๆ พระพุทธศาสนาสอนถึงความสุขจากภายใน นักเศรษฐศาสตร์เขาบอกว่าประเทศที่เจริญแล้วเขามีความสุข ประเทศด้อยพัฒนาๆ ประเทศด้อยพัฒนาถ้ามีเศรษฐกิจพอเพียง คือมีข้าวปลาอาหารสมบูรณ์ แต่ความเป็นอยู่ๆ ถ้าข้าวปลาอาหารพอสมบูรณ์ ปัจจัยเครื่องอาศัย ถ้าปัจจัยเครื่องอาศัย นี่ความสุขจากภายในไง

ถ้าความสุขจากภายใน เห็นไหม วันนี้วันพระ วันนี้วันพระ ถ้าวันพระ วันพระเขาไม่ใช่มีวันพระวันเดียว วันพระเขามีแล้วมีเล่า ในทางโลกเขามีไว้แก้แค้นกัน ว่าวันพระไม่มีวันเดียว คราวหน้ามันจะเอาคืน

แต่ถ้าเป็นพระพุทธศาสนา วันพระมีแล้วมีเล่า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทะเจ้าบัญญัติไว้ วันธรรมสวนะ ให้ฟังธรรมๆ ไง ฟังธรรม สิ่งใดที่มันเป็นกิเลสตัณหาความทะยานอยาก สิ่งใดที่เป็นความขาดตกบกพร่องในหัวใจของเรา เราจะแก้ไขของเราๆ ไง

เวลาเราบวชใหม่ๆ เราอยู่ป่าอยู่เขานะ วันโกน วันพระ เนสัชชิก ไม่เคยนอนเลย วันปกติก็ภาวนาอยู่แล้ว แต่ถ้าเป็นวันโกน วันพระ วันพระนี่วันสำคัญเลย ถ้าอยู่ในป่าในเขา วันพระนะ มันมีพระธาตุลอยบนอากาศ อยู่ในป่านะ มันจะมีสิ่งมหัศจรรย์ของมันอยู่ในป่า ในป่านี่เป็นที่ที่อยู่ของเทวดา อินทร์ พระหมของเขา เวลามนุษย์ คาวของมนุษย์ มนุษย์มีแต่ความเหม็น ไม่มีใครสนใจทั้งนั้นน่ะ แต่อยู่ในป่าในเขา เขามีความมหัศจรรย์ในป่าในเขา ในป่าในเขา แล้วเราก็ไปอาศัยป่าอาศัยเขานั้นเพื่อจะดัดแปลงหัวใจของเรา เพื่อความชุ่มชื่นในหัวใจของเราไง

ถ้าเราทำของเราๆ เราทำของเราน่ะ ถ้าทำของเรา สิ่งที่เราทำของเราเพื่อประโยชน์กับเราไง ถ้าเป็นความสุขจากภายในๆ ถ้าความสุขจากภายใน เราเข้าใจเรื่องธรรมะอันละเอียด เรื่องสิ่งคุณธรรมในหัวใจแล้ว เราจะมองปัญหาทางโลกเป็นเรื่องปลีกย่อย แต่นี่เราไปแข่งขันกันทางโลกไง เราแข่งขันทางโลกว่า คนมีชื่อเสียงกิตติศัพท์กิตติคุณ เรามีแต่หัวโขน หัวโขนเรามีมหาศาล กว่าที่จะได้หัวโขนนั้นมา มีแต่บาดเจ็บเลือดโชกมาทั้งนั้นเลย

แต่ของเรานะ ถ้ามันมีสติมีปัญญาของเรา เราเสียสละของเรา เราเสียสละของเรานะ เรามีน้ำใจต่อเขา เราไม่มีปัญญาที่เราจะหาสิ่งใดได้นะ เราก็อนุโมทนาไปกับเขา เห็นสัตว์ ดูสิ แม่ไก่ แม่สุนัข มันเลี้ยงลูกของมันน่ะ มันปกป้องลูกของมันนะ เราชื่นใจไปกับมัน เวลาแม่ไก่ ดูสิ มันฟักลูกออกมา มันคุ้มครองดูแลลูกของมัน มันคุ้ยเขี่ยหาอาหารให้ลูกของมันกิน มันดูแลลูกของมัน เห็นไหม เราเห็นแล้วเราชื่นใจไหม เราดูสิ เวลาที่สัตว์ที่มันไม่ยอมรักลูกของมัน ไม่เลี้ยงลูกของมัน เขามีหน่วยงาน เขาต้องไปเอามาเลี้ยงดู เอามาป้อนนม เอามาเลี้ยงดูของมัน แต่สัตว์ถ้ามันทำของมัน เราเห็นแล้วเราชื่นใจไหม

นี่ไง ถ้าเราบอกว่า เราไม่มีปัจจัยเครื่องอาศัย เราไม่มีสิ่งใดที่จะไปเสียสละกับเขา

เราไม่มีสิ่งใดที่จะไปเสียสละกับเขา เราก็มีหัวใจ เราก็มีความรู้สึก หัวใจอันยิ่งใหญ่ หัวใจอันยิ่งใหญ่ มันจะยิ่งใหญได้อย่างไร ยิ่งใหญ่มันก็ด้วยการฝึกฝน ยิ่งใหญ่ด้วยสติด้วยปัญญา ยิ่งใหญ่ด้วยสติด้วยปัญญา อริยทรัพย์ ความเกิดเป็นมนุษย์นี้เป็นอริยทรัพย์ เป็นอริยทรัพย์เพราะอะไร เพราะเกิดเป็นมนุษย์ ทรัพย์สมบัติทั้งหมด หน้าที่การงานทั้งหมด เพราะมีเรา ถ้าไม่มีเรามันก็เป็นสมบัติกลาง สมบัติสาธารณะทั้งนั้นน่ะ

ชีวิตนี้มีค่ามากๆ เห็นไหม ทรัพย์สิน สิทธิของเราเป็นของเราทั้งนั้นเลย เป็นของเรา เป็นของเราในชีวิตนี้ไง ถ้าเป็นของเราในชีวิตนี้ เขาถึงบอกว่าเป็นของสมมุติไง สมมุติก็ของชั่วคราวไง จริงตามสมมุติๆ จริงตามสมมุติคือมันจริงในระหว่างนั้น พอเริ่มจากอันนั้นไปมันก็ด้อยค่าของมันไปโดยธรรมชาติของมัน นี่ไง จริงตามสมมุติๆ แต่จริงตามสมมุติมันก็ของชั่วคราวทั้งนั้นน่ะ แต่ที่เป็นจริงๆ เป็นจริงคือความสุขความทุกข์ในหัวใจนี้ไง

เวลาเกิดมาๆ เกิดมาทุกคนอยากจะมั่งมีศรีสุขทั้งนั้นน่ะ ใครจะเกิดมามั่งมีศรีสุขมันอยู่ที่อำนาจวาสนาของคน พันธุกรรมของจิตๆ เวลากำเนิด ๔ เวลากำเนิดนั่นน่ะกรรมมันให้ผล ถ้ากรรมมันให้ผลขึ้นมา เกิดมาแล้ว เกิดมา ดูสิ มหาราชทั้งหลาย เกิดมาเป็นทาสก็มี เป็นผู้เป็นชาวไร่ชาวนาก็มี ทำไมเขาสร้างเนื้อสร้างตัวเป็นจักรพรรดิเป็นมหาราชนู่นน่ะ นี่มันมาจากไหนล่ะ

มันมาจากเม็ดใน มันมาจากอำนาจวาสนาในใจของเขา ถ้าอำนาจวาสนาในใจของเขา เขามีจุดยืนของเขา เขาทำสิ่งใดของเขา เขาทำด้วยสติปัญญาของเขา เขาทำด้วยกำลังของเขา เขาทำของเขา เขามีอุดมการณ์ของเขา เขาไม่ทำสุ่มสี่สุ่มห้า เขาไม่ทำแบบไร้สาระ จะมีสาระไม่มีสาระมันอยู่ที่สติปัญญาของคน ถ้าสติปัญญาของคนนะ ถ้าเรารู้อะไรเป็นสาระและไม่เป็นสาระ

ถ้าเป็นสาระ ทางโลกเราก็ทำ คนเราเกิดมามันต้องมีปากมีท้อง เราเป็นญาติกันโดยธรรมนะ ต้องมีอาหารการกินเหมือนกัน แต่คนที่มีสติปัญญาเขากินด้วยความประหยัดมัธยัสถ์ สุขภาพร่างกายเขาแข็งแรงด้วย คนที่ไม่รู้จักเพียงพอสวาปามเต็มที่เลย แล้วก็ไปหาหมอ แล้วก็ไปรักษา นั่นไง นั่นเพราะอะไรล่ะ เพราะสติปัญญาของเขาใช่ไหม คนน่ะมั่งมีศรีสุขมหาศาล ร่ำรวยมหาศาลนะ เขากินอยู่ด้วยสุขภาพของเขา ที่เหลือเขาทำประโยชน์โลก ที่เหลือเขาทำประโยชน์โลก ประโยชน์โลกนั่นน่ะเขาเรียกว่าบารมี สิ่งที่บารมีไง คนจะมีบารมีได้ต้องมีการกระทำมา

คนเราไม่ทำสิ่งใดเลย จะให้คนยกย่องสรรเสริญ ใครจะยกย่องสรรเสริญ ใครเขาจะเชื่อ แต่ถ้าเขาทำของเขามาๆ แต่ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั่งอยู่โคนต้นโพธิ์ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า สอน ๓ โลกธาตุ ตั้งแต่เทวดา อินทร์ พรหมลงมาเลย

ใครสอนได้ ใครรู้ได้ ถ้ามันชนะตนเอง มันชนะในหัวใจของเรานี่ไง ถ้ามันชนะในหัวใจของเรา สิ่งที่ว่า สิ่งที่ทรัพย์อันละเอียดๆ ไง เวลาเรามีสติมีปัญญาของเรา เราก็เริ่มทำบุญกุศลของเรา เราทำบุญกุศลของเราด้วยสติด้วยปัญญาของเรานะ ทำทิ้งเหว ไม่หวังผลตอบแทนใดๆ ทั้งสิ้น การทำคุณงามความดีของเรา เราไม่ใช่ทำคุณงามความดีของเราเพื่อการตอบสนอง เพื่อให้ใครเห็น เพื่อให้ใครนับหน้าถือตา เราทำคุณงามความดีตอบสนองความเจตนาในหัวใจของเรา ทำคุณงามความดีของเราไม่หวังผลตอบแทนใดๆ ทั้งสิ้น

แล้วถ้าหัวใจมันผ่องแผ้ว หัวใจมันสูงส่งขึ้นมา ทานเราก็ได้ทำแล้ว ทำแล้วมันก็อยากทำ ทำแล้วเดี๋ยวมันก็แช่มชื่น เดี๋ยวมันก็หดหู่ ความหดหู่ แล้วใครมันจะมาดูแลมัน เห็นไหม จากทาน ศีล ความปกติของใจ ความปกติของใจไง ถ้าใจมันปกติ เวลาจะมาคิดอะไร หลวงตาท่านพูดประจำ ตบมือๆ ตบมือคือตบความคิดไง เวลามันจะคิดสิ่งใด ตบมันไว้ๆ แล้วตบมันไว้ จะคิดเรื่องเลวทรามต่ำช้า ไม่คิด ถ้าคิดเรื่องดีๆ เหยียบคันเร่งมันไป

คิดเรื่องดีๆ นี่คิดสิ ชีวิตนี้มันเกิดมาจากไหน เกิดมาจากพ่อจากแม่ใช่ไหม แล้วพ่อแม่มีพี่น้องตั้งหลายคน พี่น้องทำไมความคิดไม่เหมือนกัน เราเกิดจากพ่อแม่คนเดียวกัน ทำไมความคิดของคนมันแตกต่างหลากหลาย ความคิดของคนแตกต่างหลากหลายเพราะอำนาจวาสนาของคนมันสร้างมาไม่เหมือนกัน การสร้างมาไม่เหมือนกันนะ อำนาจวาสนาของคนก็ไม่เท่ากัน ถ้าไม่เท่ากัน แล้วเราเกิดมา เราเกิดมาแล้วเรามีอำนาจวาสนาขนาดนี้ เราจะสร้างสมของเราให้มากขึ้นไป หรือเราจะใช้สมบัติเก่าๆ

สมบัติเก่าคือเราได้ทำบุญกุศลมาถึงได้เกิดมาเป็นอย่างนี้ ถ้าอย่างนี้แล้วเราจะใช้สมบัติเก่าหมดไปแล้วก็ไปเกิดเป็นเดรัจฉาน ไปเกิดในนรกอเวจี ถ้าเราทำคุณงามความดีของเรา ทำคุณงามความดีก็รักษาความเป็นสมบัติของเราก็ยังดี รักษาความเป็นมนุษย์ไง ถ้ามันไม่สิ้นสุดแห่งทุกข์ เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ นี่ไง ถ้ามันคิดดีๆ เหยียบคันเร่งมันเข้าไป เหยียบคันเร่งมันเข้าไป แต่มันไม่คิดอย่างนี้น่ะสิ คิดอย่างนี้มันจะเป็นคนทุกข์คนยาก เป็นคนทุกข์คนจน ต้องคิดเรื่องทำมาค้าขาย คิดเรื่องผลตอบแทน คิดแล้วมันก็หืดก็หอบ คิดแล้วมันก็เหนื่อยมันก็ยาก คิดแล้วมันก็มีแต่ความทุกข์ความยาก มันก็อยากของมัน

นี่ไง อริยทรัพย์ การเกิดเป็นมนุษย์ การเกิดนี้มีคุณค่ามาก แล้วคุณค่ามาก แสวงหาทรัพย์ทางโลกมันก็ได้ทรัพย์ทางโลก แล้วถ้าแสวงหาทรัพย์ทางโลกแล้วไปมีปัญหาขัดแย้ง ก็ต้องไปมีปัญหาขัดแย้งกันอีก

ถ้าแสวงหาทรัพย์ภายใน แสวงหาทรัพย์ภายใน เราก็ไม่ต้องไปคุยอวดโม้กันนะ แหม! ภาวนาที่นู่นดีอย่างนี้ ภาวนาที่นี่ดีอย่างนั้น ไอ้นั่นเอาไว้คุยโอ้คุยอวด มันส่งออกไง แต่มันส่งออกนี่มันฟูขึ้นมาแล้วไง

แต่ถ้ามันจะเป็นความจริงๆ ขึ้นมา เราก็ทำของเราเพื่อประโยชน์กับเรา นี่ความปกติของใจ ให้มันเกิดความสงบสุขเข้ามา ถ้าเกิดความสงบสุขเข้ามา ถ้ามันเป็นสัมมาสมาธิไง สุขอื่นใดเท่ากับจิตสงบไม่มี ถ้าจิตของใครทำสมาธิได้ มันจะเกิดความมหัศจรรย์ในจิตของตน ถ้าความมหัศจรรย์ในจิตของตน สิ่งที่มีค่าๆ ก็มีค่าก็หัวใจเรานี้เองที่มันมีค่า

แต่เดิมด้วยความลืมตนลืมตัวของเรานะ ก็ไปเห็นว่าหน้าที่การงานหัวโขนของเรามันมีค่า ใครยกย่องสรรเสริญมีค่า

โมฆบุรุษตายเพราะลาภ คนโง่ คนโง่ต้องการให้คนนับหน้าถือตา ให้คนยกย่องสรรเสริญ แล้วก็พยายามทุ่มเท เหมือนการเมือง การเมือง ทำงานการเมืองคือแจกตังค์ แจกตังค์ให้เขาว่ากูดี เวลาแจกตังค์ๆ โอ้โฮ! เบอร์นี้ดีๆ แจกตังค์ เอาเงินไปแจกเขา จ้างเขาให้เขาว่าเราดี เอาเงินไปจ้างเขา เขารับเงิน เขาก็ว่าดี ลับหลังเขาว่าไอ้นี่โง่ อยู่ดีๆ เอาตังค์มาให้เรา ต่อหน้ามันก็ว่าดีทั้งนั้นน่ะ เพราะมันรับตังค์ นี่ไง ทำงานการเมืองๆ ไง นี่ก็เหมือนกัน เราจะจ้างให้เขาดี เราทำคุณงามความดีให้เขายกย่องสรรเสริญ...บ้าตาย

ทำคุณงามความดีของเราทำทิ้งเหว ทำของเรา ทำทิ้งเหว เวลามันเป็นจริงเป็นจังขึ้นมา มันทุกข์มันยากขึ้นมา แล้วเวลาถ้ามันทำบุญกุศล มันปลาบปลื้ม กุศลคือความอบอุ่นหัวใจ ทำแล้วปลื้มใจ ทำแล้ว แหม! เรานี่เป็นเทวดามา มนุสสเทโว คนดี๊ดี คนดี๊ดี ประเดี๋ยวเดียวมันก็เป็นสเปโต พอมันเป็นเปรตขึ้นมา โอ้โฮ! ทำไมเราทุกข์ขนาดนี้ล่ะ ทำไมเราทุกข์เรายากอย่างนี้ล่ะ ทำไมชีวิตมันลำบากลำบนขนาดนี้น่ะ นี่มันขึ้นๆ ลงๆ เห็นไหม

แต่ถ้าเราพุทโธๆ เราใช้ความปกติของใจเราเข้ามา เราดูแลหัวใจของเราด้วยสติด้วยปัญญา ด้วยความฉลาดไง ถ้าความฉลาด ด้วยสติปัญญา มันก็ดูแลหัวใจของเราไง ถ้าหัวใจของเรามันปล่อยวางความคิด ปล่อยวางสิ่งที่มันฟุ้งซ่านมา มันก็จะเป็นตัวมัน เห็นไหม สุขอื่นใดเท่ากับจิตสงบไม่มี ถ้าจิตมันสงบแล้วมันก็ไม่ฟูขึ้นฟูลง ไม่ใช่เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้ายที่มันเป็นของมันโดยธรรมชาติของมัน

แต่ด้วยมีสติมีปัญญา ด้วยการรักษา ถ้ารักษาขึ้นมา นี่สัมมาสมาธิ สัมมาสมาธิ จิตมันมีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์แบบ มันมีความสุขของมัน มันรักษาของมัน มันจะมีความมหัศจรรย์นะ แค่ความสงบ แล้วครูบาอาจารย์ท่านฝึกหัดทำความสงบของใจเข้ามา ถ้ายังไม่มีสติกำลังพอ ก็รักษา พยายามรักษา ชำนาญในวสี เดี๋ยวก็คลายออกมา

การคลายออกมา แล้วบอกว่าว่างๆ ว่างๆ

ว่างๆ คืออารมณ์ มันไม่มีเข้าไม่มีออก มันไม่เข้าในสัมมาสมาธิ มันไม่เข้าไปสู่ความละเอียดของใจ มันเป็นความคิดของเราอันหนึ่ง ความคิดที่มันฟุ้งซ่าน เราคิดให้ฟุ้งซ่าน เวลามันคิดให้ว่างๆ อู้ฮู! ธรรมะเป็นความว่าง ว่างหมดเลย มันก็เป็นอารมณ์อันนั้นน่ะ มันไม่มีเข้าไม่มีออกไง มันเลยไม่มีสติ มันไม่มีการควบคุม ไม่มีสติปัญญารักษาหัวใจของตน มันเลยไม่มีรสชาติ

รสของธรรมชนะซึ่งรสทั้งปวง มันไม่ใช่รสของธรรม มันเป็นเรื่องรสของกิเลสเบียดเบียน มันเป็นเรื่องของกิเลสบังเงา แอบอ้างธรรมะมาอ้างอิง กิเลสมันหยิบธรรมะแล้วเอามาฉกฉวย แล้วมาอ้างอิงว่าเป็นสมบัติของมัน ทั้งๆ ที่มันไม่เป็นจริง

แต่ถ้ามันเป็นจริงๆ ครูบาอาจารย์ของเราท่านเป็นจริง มันต้องมีสติ มันต้องมีคำบริกรรม มันต้องมีปัญญาอบรมสมาธิ มันต้องมีการกระทำ คนไม่มีการกระทำ คนไม่ทำนาไม่มีข้าว ชาวนาเขาทำนาต้องมีเมล็ดพันธุ์ ต้องมีน้ำ ต้องมีดิน อากาศพร้อม ต้นข้าวมันถึงได้งอกขึ้นมา ดูแลรักษาจนข้าวมันออกรวง ออกรวงเก็บเกี่ยวแล้วมันถึงได้ข้าว

คนปฏิบัติไม่มีเหตุไม่มีผล นึกเอา วิปัสสนึก จินตนาการไปเรื่อยเฉื่อย แล้วก็เป็นประสาโลกๆ ไง

นี่ไง ถ้าชำนาญในวสี เวลาท่านชำนาญในวสี คนต้องชำนาญในวสี ต้องควบคุมหัวใจของเราก่อน ถ้าหัวใจของเรามันมีหลักมีเกณฑ์ขึ้นมา ฝึกหัดใช้ปัญญา นี่ปัญญาจะไปเกิดนู่น ปัญญาอย่างนี้จะเป็นภาวนามยปัญญา ปัญญาไม่ใช่เกิดจากการศึกษา ปัญญาไม่ใช่เกิดจากการค้นคว้า ปัญญาไม่ใช่เกิดจากการแสวงหา ปัญญาเกิดจากจิตๆ ปัญญาเกิดจากการภาวนา พอภาวนาเป็นปัจจัตตัง เป็นสันทิฏฐิโก เป็นกระทำในหัวใจของตน นี่ทำสัมมาสมาธิ ถ้าไม่มีคำบริกรรม ไม่มีปัญญาอบรมสมาธิ ไม่มีการกระทำ มันจะไม่เกิดผล

ศาสนาไหนไม่มีมรรค ศาสนานั้นไม่มีผล หัวใจดวงใดที่ไม่มีการกระทำ มันลูบๆ คลำๆ อยู่ข้างนอก มันก็ได้การลูบๆ คลำๆ อยู่ข้างนอก มันเข้ามาสู่ความเป็นจริงไม่ได้ ถ้ามันเข้ามาสู่ความเป็นจริงได้ เพราะความเป็นจริงอันนี้ เราไม่เคยรู้ไม่เคยเห็น ความเป็นจริงอันนี้เรารักษาไว้ไม่ได้ ถ้ารักษาความเป็นจริงไม่ได้ ชำนาญในวสี ชำนาญพยายามฝึกหัด เวลามันถอยออกมา มันเสื่อมออกมาแล้ว วางให้หมด อย่าให้กิเลสซ้อนกิเลส

โดยธรรมชาติของคน สัตว์ที่เกิดมีอวิชชาคือมีพญามารในหัวใจอยู่แล้ว คือกิเลสมันมีอยู่โดยธรรมชาติของมันอยู่แล้ว แล้วเราเคยได้ เคยสงบ แล้วเราก็ไปอยากอีก มันเลยเกิดตัณหาซ้อนตัณหา พอตัณหาซ้อนตัณหา ทำแล้วก็ล้มลุกคลุกคลาน

ครูบาอาจารย์ที่ท่านประพฤติปฏิบัติมานะ เวลาจนกระหืดกระหอบ จนสุดความสามารถแล้ว เฮ้อ! โยนทิ้ง ปฏิบัติบูชาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พอโยนทิ้ง ไม่มีความอยาก ไม่มีความต้องการเท่าไร ปฏิบัติบูชาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มันก็กลับมาสงบอีก พอกลับมาสงบอีกก็อยากอีก โอ้โฮ! สงบอย่างนี้ เพราะมันเห็นว่าดีและไม่ดี สงบและไม่สงบ เวลาสงบมันก็ดีใช่ไหม เวลาไม่สงบมันก็ไม่ดีไง เวลาถ้ามันสงบมันก็ดีกว่า เพราะเรามันรู้น่ะ อะไรที่มันดีกว่าก็อยากได้ที่ดีๆ นั่นน่ะ ทั้งๆ ที่บอกไม่อยาก มันอยากโดยจิตใต้สำนึก มันอยากโดยการควบคุมไม่ได้ ไม่อยาก ไม่ต้องการ ไม่อยาก ไม่ต้องการ

ทำคุณงามความดีบอกว่าทำความดีทิ้งเหว ไม่ต้องการสิ่งใดเลย แต่ก็อยากให้เขาชมว่าดีแล้วกันแหละ เออ! บอกว่าไม่อยากได้ๆ แต่ใจลึกๆ มันก็อยากได้

นี่ก็เหมือนกัน ตัณหาซ้อนตัณหา ไม่อยาก ศึกษามาเยอะ ฟังครูบาอาจารย์มามาก ทุกคนเตือนมาตลอด ทำแล้วอย่าอยากๆ เราก็พยายามบอกไม่อยาก

ไม่อยากที่ปากไง แต่ใจมันอยาก กิเลสมันอยาก ก็ต้องล้มลุกคลุกคลานอยู่อย่างนั้นน่ะ จนกว่ามันเข็ดขยาด จนมันทุกข์มันยากก็ปล่อยเสียที เออ! สงบอีกสักทีหนึ่ง เดี๋ยวอยากอีกแล้ว นี่มันจะเป็นอยู่อย่างนั้นน่ะ

การชำนาญในวสีในการประพฤติปฏิบัติ ครูบาอาจารย์ที่ท่านปฏิบัติมาแล้ว เวลาทุกคนบอกว่าทุกคนฉลาดมาก แต่โง่กว่ากิเลส กิเลสในใจของคนที่ฉลาดๆ มันฉลาดกว่าเอ็งมากนัก ฉลาดกว่าเอ็งมาก เอ็งไม่เท่าทันกิเลสของเอ็งหรอก ไม่มีใครเท่าทันกิเลสของตนทั้งสิ้น ต่างคนต่างส่งออก ต่างคนต่างจินตนาการว่าข้าเป็นยอดคน ข้าเป็นนักปฏิบัติ ข้านี่เป็นนักปราชญ์ ข้านี่มีสติปัญญา แล้วดาบดิ้นดาวดิ้น ตายคาตีนกิเลสทั้งนั้นเลย กิเลสไม่ให้โผล่หัวขึ้นมาสักคนหนึ่ง แล้วเราก็เจ็บซ้ำน้ำใจ เจ็บแล้วเจ็บเล่า นักปฏิบัติจะเจอมาอย่างนี้ แล้วใครผ่านประสบการณ์มาอย่างนี้ เวลาจะสอนลูกศิษย์น่ะ ไอ้ที่ว่ายอดเยี่ยมกระเทียมดองมานั่นน่ะ เออ! เดี๋ยวเอ็งจะล้มตรงหน้ากูนี่แหละ มาได้เลย ไอ้เก่งๆ นั่นน่ะ เดี๋ยวมันจะมานอนตรงนี้ นอนอะไร นอนน้ำตาไหล มันทุกข์มันยาก

คนเราจะล่วงพ้นทุกข์ด้วยความเพียร ความเพียร ความวิริยะ ความอุตสาหะ เราต้องประพฤติปฏิบัติของเราขึ้นมาเอง ถ้าเราไม่ได้ประพฤติปฏิบัติของเราขึ้นมาเอง มันไม่ใช่สมบัติของเรา สิ่งที่ศึกษาๆ มา ศึกษามาด้วยธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรารถนามารื้อสัตว์ขนสัตว์ จะมารื้อค้นหัวใจของเรานี่แหละ ท่านปรารถนามาจะรื้อค้นหัวใจของเรา แล้วเราก็จองหองพองขน นอนแผ่สองสลึงเลย อ้าว! พระพุทธเจ้าขนไปที พระพุทธเจ้าขนไปที จะรอให้พระพุทธเจ้ามารื้อสัตว์ขนสัตว์...อีก ๕๐๐ ชาติ

พระพุทธเจ้าท่านบอกว่า ธรรมและวินัยเป็นเส้นทาง มัคโค ทางอันเอก เราจะต้องก้าวเดินไปตามเส้นทางนั้น เราจะต้องฝึกหัดของเราก้าวเดินตามไปเส้นทางนั้น เส้นทางที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมไปแล้ว เส้นทางของหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นที่ท่านได้ก้าวเดินของท่านไปแล้ว แล้วเราจะก้าวเดิน เราต้องมีสติมีปัญญา มีความมานะวิริยะอดทนของเรา ถ้ามันมีอำนาจวาสนาบารมี มันจะมีจุดยืน มันจะมีการกระทำ

เวลาไปหาครูบาอาจารย์ บอกมา ให้ทำอย่างไร บอกมา ครูบาอาจารย์บอกมาเถอะ จะทำ จะทำเต็มที่ แล้วเราพยายามทำของเราๆ ประสบการณ์อันนั้นน่ะมันจะสอน ประสบการณ์ถูกหรือผิดมันจะสอนเรา ถ้าผิดมันจะเป็นครู แล้วถ้ามันผิดบ่อยๆ ครั้ง ถ้าเรารู้ทันแล้วมันจะเข็ดขยาด เวลาเข็ดขยาด มันจะเดินหลีกหนีทางอันนี้เลย น่ากลัวๆ ทางที่น่ากลัว ไม่ไปๆ เข็ดขยาด

มันจะเข็ดขยาดต่อเมื่อมันเจ็บซ้ำน้ำใจ มันต้องไปเจอของมัน หลงใหลไป ให้กิเลสพาไปล้มลุกคลุกคลาน ให้กิเลสพาไปจนสุดทางของมัน แล้วปฏิบัติแล้วไม่ได้สิ่งใดติดไม้ติดมือมาเลย แล้วมันถึงจะเข็ดขยาดว่ากิเลสมันหลอกอย่างนี้ ไม่อย่างนั้นมันจะเชื่อมั่นว่ากูแน่ๆ...กูแน่ๆ มันก็ล้มอยู่นั่นไง มันไปไม่รอดไง

แต่เวลาครูบาอาจารย์ของเราท่านประพฤติปฏิบัตินะ เงียบกริบ หลวงตาท่านเดินจงกรมไม่ให้ใครเห็น ท่านบอกว่า ถ้าใครเห็นนะ มันไม่ขลัง เวลานั่งสมาธิภาวนาท่านทำของท่าน เวลาทำความเป็นจริงๆ ความเป็นจริงมันอยู่ในหัวใจนี่ แล้วความจริงในหัวใจนี้ หลวงปู่มั่นท่านก็เป็นประธานอยู่ ครูบาอาจารย์ท่านรู้ของท่าน ถามท่านสิ จริงไม่จริง ถามท่านได้เลย ถ้าท่านตอบเราไม่ได้แสดงว่าท่านโง่กว่าเรา อาจารย์ที่โง่กว่าเรา เรานับถือไม่ได้ ถ้าอาจารย์ที่ท่านฉลาดกว่าเราถึงจะพาเรารอด ถึงจะพาเราพ้นออกไปได้ ถ้าพ้นออกไป นี่ศีล สมาธิ ปัญญา

ฟังธรรมๆ เพื่อเหตุนี้ไง วันพระ วันโกน วันพระ วันโกน ทางโลกน่ะ วันพระไม่ได้มีหนเดียวนะ เดี๋ยวกูจะเอาคืน แต่ถ้าเป็นธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า กิเลสนะ มันแก่นของกิเลส กิเลสมันพลิกแพลง

ฉะนั้น เวลาเราทำแล้วผิดพลาด ทำแล้วไม่ได้สมความปรารถนา มันก็มีวันพระๆๆ ให้เราเข้มแข็ง ให้เราพยายามของเรา มันมีโอกาสๆๆ ถ้าเรายังไม่สิ้นลมหายใจ เรามีโอกาสที่จะเอาชนะกิเลสในใจของเรา

การทำลาย การเบียดเบียนกัน องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบัญญัติห้ามเด็ดขาดๆ แต่เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสรรเสริญ สรรเสริญการฆ่ากิเลส การฆ่ากิเลสในใจของตนนั้นประเสริฐที่สุด การฆ่ากิเลสในใจของตนแล้วจะมีความสุขอยู่ในใจของตนนั้น เอวัง